วานนี้ (15 มิถุนายน) กัณวีร์ สืบแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่จบลงไปแล้ว โดยระบุว่า ฝ่ายไทยแถลงแบบอ้อมแอ้มโดนเขากินรอบวงแล้ว รัฐบาลต้องทำให้สังคมโลกรับรู้ว่าไทยไปไกลกว่าข้อพิพาทชายแดนที่เป็นมรดกของพวกล่าอาณานิคม
“ขอออกตัวว่านี่เป็นมุมมองทางการเมืองระหว่างประเทศต่อถ้อยแถลงของ 2 ฝ่ายหลังการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา เพราะมีผลต่อความรู้สึกของประชาคมโลกอย่างแน่นอน ทุกครั้งเวลามีเรื่องข้อพิพาทอย่างนี้ โลกจะจับตาและมองในรายละเอียดแถลงการณ์ที่ออกมาทันที”
กัณวีร์ระบุว่า หากใช้เลนส์การทำงานในเวทีโลกในการให้คะแนนการแถลงจากถ้อยคำของ 2 ฝั่ง โดยผ่านการวิเคราะห์เนื้อหา คงต้องให้คะแนนฝั่งกัมพูชามากกว่าไทย พร้อมย้ำว่านี่คือมุมมองจากคนที่ทำงานในเวทีระหว่างประเทศเท่านั้น ไม่ใช่นักวิชาการ
“กัมพูชายังคงสามารถเน้นย้ำเป้าประสงค์ของตนที่ต้องการผ่านถ้อยแถลงสั้นๆ ได้อย่างดี ไม่ว่าเขาไม่เอา 4 พื้นที่ข้อพิพาทเข้าหารือในที่ประชุม JBC อีกต่อไป และจะไปศาลโลกให้ได้ ทั้งๆ ที่รู้ไทยไม่ไปก็ตาม แถมยังยืนยันวัตถุประสงค์ JBC ที่ต้องทำหน้าที่หาข้อตกลงร่วมทางเทคนิคการปักปันเขตแดนของทั้ง 2 ประเทศ”
กัณวีร์กล่าวว่า กัมพูชาใช้เวลาสั้นๆ บอกวาระประชุมร่วมที่ผ่านมาทั้ง 2 วันได้ดีและความประสงค์ที่จะยึดมั่นใช้ JBC ในการทำหน้าที่อย่างที่ได้ตั้งไว้ และสามารถ ตวัดจิกไทยอย่างเจ็บนิดๆ ว่า กัมพูชาจะยึดมั่นในสันติภาพและแสวงหาพรมแดนอย่างสันติ มิตรภาพ และความร่วมมือที่ดีกับฝ่ายไทย ตาม MOU 43
กัณวีร์ชี้ว่า ฝั่งไทยใช้กระทรวงการต่างประเทศในไทยสรุปการประชุมออกมา ยืนยันใช้ JBC เป็นกลไกหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ และพูดแบบสวยๆ ว่าเป็นก้าวสำคัญในความคืบหน้าเกี่ยวกับการทำหลักเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศที่มีความยาวประมาณ 800 กม. และบอกว่ามีงานต้องทำต่อใน JBC และไทยจะเป็นเจ้าภาพต่อไปในเดือนกันยายนนี้ ทิ้งท้ายแบบบอกว่าเรายังมีกลไกอื่นๆ อีกเช่น GBC และ RBC
กัณวีร์ระบุว่า เท่านี้เราเห็นถึงความแตกต่างของการสรุปผลการประชุมของ 2 ฝ่าย กัมพูชาตีเข้าจุดเข้าประเด็นว่า เอาหรือไม่เอาอะไร ประณามนิดๆ และบอกให้รู้ว่า หากอยากจะมีผลสัมฤทธิ์จากการประชุมต้องใช้เครื่องมืออะไร แต่ไทยกลับเป็นการทูตแบบเงียบๆ หล่อๆ สวยๆ ไม่ทิ้งหมัดและไม่กล้าบอกถึงความประสงค์ของตนว่าต้องการอะไรเลย เหมือนยังเกรงใจกัมพูชาอยู่มาก
“จุดนี้ไม่ใช่จุดเกรงใจในการเมืองระหว่างประเทศครับ จุดนี้คือการแสดงบทบาทของประเทศในเวทีโลกให้ชัดเจนถึงการเจรจาต่อรองที่เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ได้ไม่ได้เรามาวางแผนเพื่อไปสู่จุดสูงสุด ไม่ใช่กังวลว่าเขาจะไม่คุยกับเรา ”
กัณวีร์กล่าวว่า นี่คือการย้ำเตือนถึงจุดยืนทางการทูตแบบไผ่ลู่ลมของรัฐบาลไทยที่เป็นมรดกตกทอดจากช่วงสงครามเย็น ไทยใช้การทูตแบบนี้มาโดยตลอดจนเคยชิน กัมพูชาผ่านสงครามการสู้รบ การถูกกดขี่ข่มเหงช่วงอาณานิคม ดังนั้น การต่างประเทศเขาชัดมากๆ แต่ไทยคนละอย่าง
“ยกแรกนี้คะแนนเขานำครับ พูดได้อย่างเต็มปาก เรายังมีอีก 4 ยก เพราะเป็นมวยไทย ดังนั้น เตรียมแผนระยะเฉพาะหน้าและระยะยาวจนถึงยก 5 ได้เลย ICJ ไม่เข้าแล้ว จะบอกชาวโลกอย่างไร ต้องชัดเจน ยึด MOU 43 เอาคำพูดกัมพูชามามัดตัวให้ได้ ห้ามให้การฉีกสะบั้น MOU 43 จากการนำเรื่องเข้าศาลโลก เป็นกรณีพิเศษที่กัมพูชาทำได้ เมื่อคุณบอกจะใช้ดังนั้น ต้องใช้มัน ห้ามไปไหน และบอกประชาคมโลกให้ดังๆ อย่าอ้อมแอ้ม กลัวกระทบใครอย่าทำไผ่ลู่ลม ต้องทำเป็นการทูตแบบแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Engagement)”
กัณวีร์กล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะทำอย่างไรในระยะยาว จะเอาเรื่องเศรษฐกิจชายแดนชูให้ได้ เงิน 3 แสนกว่าล้านบาทต่อปีผ่านการค้าชายแดน ผ่านแดนและข้ามแดนไทย-กัมพูชา เม็ดเงินมหาศาล ทำเรื่องเมืองคู่แฝด Sister City รวมอัตลักษณ์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี บวกการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น วางเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติบริเวณชายแดนทั้งหมด ซึ่งอย่าทำแค่กัมพูชาเท่านั้น
กัณวีร์กล่าวอีกว่า วางแผนอย่างนี้ แล้วแชร์ให้สังคมโลกรับรู้ว่า ไทยไปไกลกว่าข้อพิพาทชายแดนที่เป็นมรดกอันเลวร้ายของพวกล่าอาณานิคมที่ส่งต่อและฝังลึกให้พี่น้องในพื้นที่แถวนี้ถูกถม ปัจจุบันถูกคนเพียงไม่กี่คนที่มีอำนาจ ยกกระแสมาตีกันให้เป็นการทะเลาะเบาะแว้งระดับประเทศต่อประเทศ
“ไทยเราเหนือกว่า ไทยเราไปไกลกว่า ไทยเราก้าวหน้า และพร้อมจะโอบอุ้มและแก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่างๆ อย่างสันติวิธี และพร้อมจะเป็นผู้นำร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคของเรา แสดงบทบาทในเวทีโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องพวกนี้เสียอีก กล้าทำไหมครับรัฐบาล คิดและวางแผน ออกโรดแมปตรงนี้ให้ได้ คุณต้องช่วงชิงความได้เปรียบในเวทีโลกอย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว เวลาคุณยังเหลืออีก 4 ยกนะครับ” กัณวีร์ระบุ